บทที่ ๑๓ ศาสนาโลก
ศาสนาฮินดู(พราหมณ์)
- ๑. กำเนิด ศาสนาฮินดูเป็นศาสนาเก่าแก่ของชาวอารยัน กำเนิดขึ้นที่ประเทศอินเดียก่อนศาสนาอื่นๆ โดยมีพราหมณ์เป็นผู้สั่งสอนและประกอบพิธีกรรมจึงเรียกกันว่าเป็นศาสนาของพราหมณ์ หรือศาสนาพราหมณ์.
- ๒. สิ่งเคารพสูงสุด ศาสนาฮินดูเป็นศาสนาประเภทเทวนิยมคือเคารพยอมรับเรื่องเทพเจ้าเป็นสิ่งสูงสุด โดยเทพเจ้า ๓ องค์ที่ชาวฮินดูให้ความเคารพสูงสุดอันได้แก่
- ๑. พระพรหม ที่เป็นเทพเจ้าผู้สร้างหรือให้กำเนิดทุกสิ่งในเอกภพขึ้นมา
- ๒. พระวิษณุ หรือพระนารายณ์ ที่เป็นเทพเจ้าผู้ปกป้องรักษา
- ๓. พระอิศวร หรือพระศิวะ ที่เป็นเทพเจ้าผู้ทำลาย
- เทพเจ้าทั้ง ๓ องค์นี้รวมเรียกว่า ตรีมูรติ ที่เป็นเทพเจ้าสูงสุด แต่ชาวฮินดูยังนับถือเทพเจ้ารองๆลงมาอีกมากประมาณ ๓๐๐ ล้างองค์.
- ๓. ศาสดา ศาสนาฮินดูไม่มีศาสดาเพราะสืบทอดกันมานานจนไม่รู้ว่าใครเป็นผู้สั่งสอนคนแรก แต่มีฤๅษีและพราหมณ์เป็นผู้สั่งสอนและพัฒนาหลักคำสอนสืบต่อกันมาเรื่อยๆ
- ๔. คัมภีร์ คัมภีร์ของศาสนาฮินดูเก่านั้นมีอยู่ ๔ คัมภีร์คือ
- ๑. คัมภีร์ฤคเวท เป็นคัมภีร์สำหรับใช้สวดสรรเสริญพระเจ้า
- ๒. คัมภีร์ยชุรเวท เป็นคัมภีร์รวบรวมบทร้อยกรองใช้ในพิธีบูชายัญในศาสนา
- ๓. คัมภีร์สามเวท เป็นคัมภีร์รวบรวมบทสวดมนต์สำหรับประกอบพิธีกรรมต่างๆของประชาชนทั่วไป
- ๔. คัมภีร์อาถรรพเวท เป็นคัมภีร์เวทมนต์คาถา
- คัมภีร์เหล่านี้เรียกว่า คัมภีร์พระเวท แต่ตอมาได้เกิดคัมภีร์อุปนิษัทขึ้นอีก ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่กล่าวถึงเรื่องธรรมชาติของจักรวาลและวิญญาณมนุษย์ อันส่งผลกระทบถึงความคิดและการดำเนินชีวิตของชาวอินเดียอย่างมาก.
- ๕. สรุปหลักคำสอน คำสอนสำคัญในคัมภีร์อุปนิษัทนั้นสรุปได้ ๕ เรื่องคือ
- ๑. ปรมาตมัน หรือ พรหม คือวิญญาณหรือตัวตนดั้งเดิม หรือใหญ่ ที่เที่ยงแท้ถาวร เป็นหนึ่งและอมตะ
- ๒. อาตมัน หรือชีวาตมัน คือส่วนย่อยของปรมาตมันหรือพรหมที่แยกออกมาอยู่ในแต่ละบุคคล
- ๓. การกลับเข้าไปรวมกับปรมาตมันหรือพรหมได้นั้นคือการพ้นทุกข์ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก
- ๔. ชีวาตมันจะกลับไปรวมกับปรมาตมันได้นั้น ผู้นั้นจะต้องบำเพ็ญกิริยา และ ประกอบพิธีต่างๆจนบรรลุถึงโมกษะ(หลุดพ้นจากอัตตา) แล้วชีวาตมันก็จะกลับไปรวมกับปรมาตมันได้.
- ๕. เรื่องกฎแห่งกรรม คือสอนว่ากรรมเป็นเครื่องกำหนดของชีวิตในภพหน้า กล่าวคือใครทำสิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้นในชาติหน้า ซึ่งนี่เป็นจุดที่ทำให้เกิดความเชื่อเรื่องชาติก่อน ชาติหน้า เรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า ผี เทวดา นางฟ้า เป็นต้นขึ้นมา.
- ๖. การกลืนพุทธศาสนาของศาสนาฮินดู คำสอนในคัมภีร์อุปนิษัทนี้เองที่ทำให้เกิดความเชื่อเรื่องวิญญาณเวียนว่ายตายเกิด และเรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า ผี สาง เทวดา ต่างๆขึ้นมา รวมทั้งเรื่องอาวตาลของบพระนารายณ์ที่เกิดมาเพื่อช่วยโลก เช่นอวตารมาเป็นพระรามเพื่อฆ่ายักษ์ หรือแม้เรื่องพระนารายณ์อวตารมาเป็นพระพุทธเจ้าเพื่อสอนให้คนตกนรกมากๆเพราะสวรรค์เต็มหมดแล้ว เป็นต้น ซึ่งชาวฮินดูหรือผู้ที่ไม่รู้จักพุทธศาสนาอย่างถูกต้องก็จะเชื่อกันว่าพุทธศาสนานั้นแยกออกมาหรือเป็นเพียงสาขาหนึ่งของศาสนาฮินดูเท่านั้น ซึ่งนับว่านี่เป็นอุบายอันแยบยลที่จะกลืนหรือทำลายพุทธศาสนาที่มีอยู่ในอินเดียขณะนั้นให้หายสาบสูญไปได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นจึงมีเรื่องต่างๆของฮินดูอยู่เต็มไปหมดในคำสอนของพุทธศาสนาที่แม้จะสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันก็ตาม.
- ๗. นิกาย นิกายใหญ่ๆของศาสนาฮินดูมีอยู่ ๖ นิกายคือ
- ๑. นิกายไวษณวะ ซึ่งนับถือพระวิษณุเป็นเทพเจ้าสูงสุด
- ๒. นิกายไศวะ ซึ่งนับถือพระศิวะเป็นเทพเจ้าสูงสุด (พวกนี้เรียกว่าพวกลึงค์ยัติซึ่งนิยมพกลึงค์เล็กๆไว้ที่เอว)
- ๓. นิกายศักดา ซึ่งพวกนี้นับถือลักษณะสตรีเพศคือนับถือมเหสีของพระวิษณุ คือเจ้าแม่กาลี ใรฝ่ายที่ดุร้าย
- ๔. นิกายคณพัทยะ ซึ่งนับถือพระคเณศที่มีเศียรเป็นช้าง
- ๕. นิกายสรภัทธะ ซึ่งนับถือบูชาพระอาทิตย์เป็นเทพเจ้าสูงสุด
- ๖. นิกายสมารธะ ซึ่งเป็นนิกายใจกว้างนับถือเทพเจ้าทุกองค์.
- ๘. จุดหมายสูงสุด จุดหมายสูงสุดของศาสนาฮินดูก็คือการได้กลับไปรวมอยู่กับพรหมหรือปรมาตมัน ซึ่งไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดให้เป็นทุกข์อีกต่อไป ส่วนจุดหมายรองลงมาก็คือการได้เกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์เสพสุขอยู่กับนางฟ้ามากมายนานๆโดยไม่ต้องทำงาน.
- ๙. ความเชื่อและหลักปฏิบัติ ชาวอินเดียวจะมีการแบ่งผู้คนออกเป็นพวกๆหรือวรรณะตามความเชื่อจากศาสนาฮินดูคือ
- ๑. วรรณะพราหมณ์เป็นวรรณะสูงสุด ได้แก่พวกผู้ประกอบพิธีกรรมต่างๆ
- ๒. วรรณะกษัตริย์ ได้แก่พวกกษัตริย์ผู้ปกครองบ้านเมือง
- ๓. วรรณะแพศย์ ได้แก่พวกพ่อค้า ช่างฝีมือ
- ๔. วรรณะศูทร ได้แก่พวกคนใช้
- ชาวอินเดียจะยึดถือเรื่องวรรณะกันมาก ถ้าใครแต่งงานกันต่างวรรณะ ลูกออกมาจะเป็นพวกจัณฑาล ซึ่งเป็นคนชั้นต่ำสุดที่สังคมรังเกียจ ส่วนวรรณะพราหมณ์ที่ถือว่าเป็นวรรณะสูงสุดเพราะเขาถือว่าพราหมณ์เกิดมาจากปากพรหม.
- หลักปฏิบัติของศาสนาฮินดูนั้นก็มีหลักศีลธรรมอยู่มากมาย แต่เน้นไปที่การบูชาเทพเจ้าที่ตนนับถือ และยังมีความอดทนที่จะรับความทุกข์ยาก โดยไม่คิดจะปรับปรุงแก้ไข
- เพราะถือว่านี่เป็นกรรมของตนหรือเป็นพรหมลิขิตไม่สามารถหลีกหนีได้ ไม่มีใครจะมาช่วยเหลือได้ จึงทำให้เกิดความนิ่งดูดายหรือใจดำไม่ค่อยจะมีใครช่วยเหลือใคร
- เพราะถือว่าเป็นกรรมของเขาเองที่ทำไว้ในชาติก่อน ส่วนคนที่ไปช่วยก็ช่วยเพราะอยากให้ตนมีสภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ได้ช่วยเพราะความสงสารอย่างแท้จริง .
- ๑๐. ประเทศที่นับถือ ปัจจุบันศาสนาฮินดูจะมีผู้คนนับถือมากเฉพาะในประเทศอินเดีย และยังมีผู้ที่ทรมานร่างกายหรือบำเพ็ญทุกรกิริยาเพื่อให้บรรลุถึงโมกษะอยู่ด้วย แต่ก็มีผู้คนนับถือประปรายอยู่ในประเทศต่างๆทั่วโลก และนิยมเรียกกันว่าศาสนาพราหมณ์ ซึ่งแม้พุทธศาสนาในประเทศต่างๆก็มีหลักของศาสนาพราหมณ์ผสมผสานอยู่ด้วยทั้งสิ้น
- ๑๑. ประเพณี ศาสนาฮินดูมีประเพณีต่างๆมากมาย ส่วนมากเป็นประเพณีบูชาเทพเจ้า เช่นการฆ่าสัตว์บูชายัญต่อเจ้าแม่กาลี ซึ่งบางครั้งก็มีการฆ่ามนุษย์เพื่อบูชายัญเพราะเชื่อว่าเทพเจ้าจะพอในและดลบันดาลให้ความหายนะหรือโรคระบาดหายไปได้.
- ๑๒. ผู้สืบทอด ศาสนาฮินดูจะมีพราหมณ์ เป็นผู้ผูกขาดการประกอบพิธี และทำหน้าที่สั่งสอน และจะมีการเรียนพระเวทหรือศึกษาคัมภีร์พระเวท ถ้าใครเรียนจบถือว่าเก่งมาก จนเกิดประเพณีว่าผู้หญิงจะต้องไปสู่ขอผู้ชายมาแต่งงานเพราะว่าผู้ชายมีค่าสูงส่ง โดยผู้จบพระเวทจะสามารถประกอบพิธีทำให้มีรายได้งาม อย่างเช่นถ้าใครจะให้ญาติที่ตายไปแล้วได้ขึ้นสวรรค์จะต้องนำทรัพย์หรือของมีค่า เช่นโค ข้าวเปลือกมาให้พราหมณ์มากๆ เพื่อพราหมณ์จะได้สวดส่งวิญญาณของญาตินั้นให้ขึ้นสวรรค์ ถ้าใครยากจนก็ไม่มีทางได้ขึ้นสวรรค์ .
- ๑๓. วันสำคัญ เช่น วันสงกรานต์ เป็นต้น (ยังไม่มีข้อมูล)
- ๑๔. สถานที่สำคัญ สถานที่สำคัญแห่งหนึ่งอยู่ที่เมืองพาราณสี ที่ตั้งอยู่ที่ฝั่งของแม่น้ำคงคาที่เรียกว่า กาสี ซึ่งคนที่เคร่งครัดในศาสนาฮินดูทุกคนจะต้องดิ้นรนมาตายที่วงกลมศักดิ์สิทธิ์ที่มีรัศมีประมาณ ๑๐ ไมล์จากจุดศูนย์กลางของตัวเมืองที่เรียกว่าปัญจะโกสี
- ซึ่งผู้คนจะมาแสวงบุญกันที่นี่ให้มากครั้งเท่าที่จะทำได้ และลงอาบนำในแม่น้ำคงคาที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ชำระล้างบาปได้ ดังนั้นเมื่อมีคนตายจึงนิยมนำมาเผาที่บริเวณนี้
- และทิ้งศพลงแม่น้ำคงคา จนทำให้เมืองนี้เป็นเมืองที่เศร้าโศกตลอดกาล เพราะมีแต่งานศพและควันลอยโขมงอยู่ตลอดเวลา
- สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อีกแห่งหนึ่งคือเมืองมธุรา ที่เป็นเมืองสำคัญศักดิ์สิทธิ์ของนิกายไวษวะที่ตั้งอยู่บนฝั่งแม้น้ำยมนา ที่ถือว่าเป็นบ้านเกิดของพระกฤษณะ
- เมื่อถึงเทศกาลจะมีนักแสวงบุญมาที่เมืองนี้และมีพิธีฟ้อนรำให้เกียรติแก่พระกฤษณะ ซึ่งนอกจากสถานที่สำคัญทั้งสองแห่งนี้แล้วยังมีศูนย์กลางทางศาสนาอีกหลายแห่ง.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น